ประวัติความเป็นมาของประเพณีบุญบั้งไฟ
ภาพงานบุญบั้งไฟ
คติที่มาเกี่ยวกับประเพณีบุญบั้งไฟมีอยู่หลายสาเหตุ
ดังนี้
1.
สาเหตุจากความแห้งแล้ง
2.
พืันฐานทางความเชื่อเรื่องผี
สาเหตุจากความแห้งแล้ง
ความเชื่อด้านประเพณีบุญบั้งไฟของชาวอีสานมี มานานเท่าใดไม่ปรากฏ ใน ความเชื่อของชาวอีสานและภูมิปัญญาระดับชาวบ้านเชื่อว่าเป็นวิธีการหรือขนบ การสู้ภัยแล้งวิธีการหนึ่งยึดถือปฏิบัติมานานจนกลายเป็นประเพณีในจารีตสิบ สองเดือนที่ชาวอีสานปฏิบัติกัน ทั้งนี้เนื่องจากความแห้งแล้งของชาวอีสานซึ่งเป็น ปรากฏการณ์ทางธรรมชาติต่อเนื่องตลอดมาในแต่ละแทบทุกพื้นที่ ผลพวงที่เกิดจากภัยแล้ง ดัง เช่นที่ (จารุวรรณธรรมวัตร ม.ป.ป.:32) ได้บรรยายว่า ความแห้งแล้งในระดับหมู่บ้านเป็นทุกข์อย่างมากมาย กล่าวคือ ความหิวโหย อด อยาก และโรคระบาด ความทุกข์ทั้งหลายมิได้บังเกิดจำเพาะมนุษย์เท่านั้น พืช สัตว์ ก็ ทุกข์ทนและทนทุกข์ถ้วนหน้ากัน ทั้งนี้เพราะการทำนาซึ่งเป็นอาชีพหลัก อาศัยเฉพาะน้ำฝนเท่านั้น ถ้า ปีใดเกิดฝนแล้งหรือฝนตกทิ้งช่วง ข้าวกล้าที่ปลูกไว้ก็จะเกิดความเสียหายโดยทั่วไป มีผญามากมายหลายบทคร่ำครวญไว้อย่างน่าเวทนา ส่วนความแห้งแล้งที่เกิดในระดับชุมชนนั้นก็ไม่ยิ่งย่อ นกว่าระดับหมู่บ้านหรือชนบทในอดีตและปัจจุบันประชาชนต้องเสียภาษีให้แก่รัฐ ถ้าเกิดภาวะฝนแล้งระบบเศรษฐกิจ ไม่หมุนเวียนไปตามวัฏจักรการสาธารณูปโภคขาดแคลน ปัญหา อื่น ๆก็ตามมา ภาวการณ์ว่างงาน ภาวการณ์ ขาดแคลนสาธารณูปโภค และสาธารณูปการ การรับ บริจาคจากรัฐและอื่น ๆ ทำให้ประชาชนได้รับความเดือดร้อนเช่นเดียวกันกับ สังคมชนบท ดังนั้น ความคิดและความเชื่อที่หล่อหลอม มาจากอดีตก็จะถูกนำมาใช้ในสังคมเมืองบางพื้นที่ เช่นการจัดประเพณีบุญบั้งไฟ ในพื้นที่หลายอำเภอและหลายจังหวัด เป็นประเพณีโดยสังคมเมืองเป็นศูนย์รวม ตัวอย่างการจัดบุญบั้งไฟเป็นงานบุญและ เทศกาลประจำปีของจังหวัดยโสธร การจัดบุญบั้งไฟที่จังหวัดมหาสารคามและบั้งไฟใน พื้นที่อื่น ๆ ความ แห้งแล้งของพื้นที่อีสาน กาพย์เซิ้งบั้ง ไฟหลายสำนวนให้แนวคิดเกี่ยวกับความรู้สึกที่เป็นจุดให้เกิดวิกฤตการทางการ เมือง เช่น สถานการณ์ เกิดผีบุญในภาคอีสาน ซึ่งเป็นผลพวงหนึ่งที่มาจากภัยแล้งในภาคอีสาน ความแห้งแล้งบางพื้นที่ได้ เกิดขึ้นหลายปีติดต่อกันจนผู้คนต้องอพยพย้ายถิ่นฐานใหม่ บางครอบครัวอพยพย้ายหลบภัยแล้งไปชั่วคราวแล้วกลับมา ใหม่ บาง ครอบครัวอพยพไปไม่กลับมาเลย ส่วนที่ยังอผ่ต่อไปก็จะหาวิธี การเพื่อเอาชนะภัยแล้งโดยภูมิปัญญาระดับชาวบ้าน ส่วนใหญเป็นความเชือที่ได้รับการถ่ายทอดเป็นขนบประเพณี คือ การขอฝนนั้นเอง ประเพณีการขอฝนที่ปฏิบัติกันในหมู่ชาวอีสาน นั้นมีหลายวิธีด้วยกัน คือ การขอฝนโดยการทำเซียงข้อง หรือเต้าแม่นางข้อง การทำพิธีแห่นางแมวหรือตำนานแม่นางแมว การทำพิธีแห่แม่นางด้งหรือเต้าแม่นางด้งการทำ พิธีโยนครกโยนสาก การทำพิธี เเห่ข้าวพันก้อน การเทศน์พญูาคันคาก การสวดคาถาปลาค่อ การบ๋านางธรณี และการทำนญูบั้ง ไฟ เป็นต้น เมื่อ ถึงเทศกาลเดือนหกหรือบุญูบั้งไฟ ชาวบ้านก็จะร่วมกันทำพิธีกรรมทางศาสนาและความสนุกสนานรวมพลังกันในหมู่บ้านดังกาพย์เซิ้งบั้งไฟตอนหนึ่งที่เตือนให้ชาว บ้านร่วมพิธีกรรมงานบุญบั้งไฟ
พืันฐานทางความเชื่อเรื่องผี
สังคมอีสานแต่เดิมนั้นมีพื้นฐานจากความเชื่อในเรื่องธรรมชาตินิยม คือ เชื่อถือในเรื่องผี สาง ต้นโพธิ์ ภูเขา แม่น้ำ เจ้าที่ ฯลฯ ซึ่งความเชื่อมีขอบเขตกว้างขวางมาก ไม่เพียงแต่หมายถึงความเชื่อในดวงวิญญาณทั้งหลาย ภูตผี คาถาอาคม โชคลาง ไสยศาสตร์ต่าง ๆ ยังรวมไปถึงปรากฏการณ์ของธรรมชาติที่มนุษย์ยอมรับนับถือ เช่น ปรากฎการณ์ฟ้าร้อง ฟ้าผ่าต้นไม้ใหญ่ ฯลฯ เป็นต้น
ประเพณีบุญบั้งไฟ
เป็นประเพณีหนึ่งของภาคอีสานของไทยรวมไปถึงลาว
โดยมีตำนานมาจากนิทานพื้นบ้านของภาคอีสานเรื่องพระยาคันคาก เรื่องผาแดงนางไอ่
ซึ่งในนิทางพื้นบ้านดังกล่าวได้กล่าวถึง
การที่ชาวบ้านได้จัดงานบุญบั้งไฟขึ้นเพื่อเป็นการบูชา พระยาแถน
หรือเทพวัสสกาลเทพบุตร ซึ่ง ชาวบ้านมีความเชื่อว่า
พระยาแถนมีหน้าที่คอยดูแลให้ฝนตกถูกต้องตามฤดูกาล และมีความชื่นชอบไฟเป็นอย่างมาก
หากหมู่บ้านใดไม่จัดทำการจัดงานบุญบั้งไฟบูชา ฝนก็จะไม่ตกถูกต้องตามฤดูกาล
อาจก่อให้เกิดภัยพิบัติกับหมู่บ้านได้
ช่วงเวลาของประเพณีบุญบั้งไฟคือเดือนหกหรือพฤษภาคมของทุกปี
ประเพณีบุญบั้งไฟมีมาแต่ครั้งไหนยังหาหลักฐานที่แน่ชัด
มีข้อสันนิษฐานเกี่ยวกับความเป็นมาของประเพณีบุญบั้งไฟในแง่ต่างๆ ไว้ดังนี้
ความเชื่อของชาวบ้านกับประเพณีบุญบั้งไฟ
ชาวบ้านเชื่อว่ามีโลกมนุษย์ โลกเทวดา
และโลกเทวดา มนุษย์อยู่ใต้อิทธิพลของเทวดา
การรำผีฟ้าเป็นตัวอย่างที่แสดงออกทางด้านการนับถือเทวดา และเรียกเทวดาว่า “แถน” เมื่อถือว่ามีแถนก็ถือว่า ฝน ฟ้า ลม
เป็นอิทธิพลของแถน หากทำให้แถนโปรดปราน มนุษย์ก็จะมีความสุข
ดังนั้นจึงมีพิธีบูชาแถน
การจุดบั้งไฟก็อาจเป็นอีกวิธีหนึ่งที่แสดงความเคารพหรือส่งสัญญาณความภักดีไปยังแถน
ชาวอีสานจำนวนมากเชื่อว่าการจุดบั้งไฟเป็นการขอฝนจากพญาแถน
และมีนิทานปรัมปราเช่นนี้อยู่ทั่วไป แต่ความเชื่อนี้ยังไม่พบหลักฐานที่แน่นอน
นอกจากนี้ในวรรณกรรมอีสานยังมีความเชื่ออย่างหนึ่งคือ เรื่องพญาคันคาก หรือคางคก
พญาคันคากได้รบกับพญาแถนจนชนะแล้วให้พญาแถนบันดาลฝนลงมาตกยังโลกมนุษย์
งานแห่บั้งไฟ
ประเพณีบุญบั้งไฟ
ความหมายของบั้งไฟ
คำว่า “บั้งไฟ” ในภาษาถิ่นอีสานมักจะสับสนกับคำว่า “บ้องไฟ” แต่ที่ถูกนั้นควรเรียกว่า”บั้งไฟ”ดังที่ เจริญชัย ดงไพโรจน์ ได้อธิบายความแตกต่างของคำทั้งสองไว้ว่า บั้งหมายถึง สิ่งที่เป็นกระบอก เช่น บั้งทิง สำหรับใส่น้ำดื่ม หรือบั้งข้าวหลาม เป็นต้น
การเอาหมื่อใส่กระบอกบั้งไฟ
ส่วนคำว่า บ้อง หมายถึง สิ่งของใดๆ
ก็ได้ที่มี 2 ชิ้น มาสวมหรือประกอบเข้ากันได้ ส่วนนอกเรียกว่า บ้อง
ส่วนในหรือสิ่งที่เอาไปสอดใสจะเป็นสิ่งใดก็ได้ เช่น บ้องมีด บ้องขวาน บ้องเสียม
บ้องวัว บ้องควาย ดังนั้น คำว่า บั้งไฟ ในภาษาถิ่นอีสานจึงเรียกว่า บั้งไฟ
ซึ่งหมายถึงดอกไม้ไฟชนิดหนึ่ง
มีหางยาวเอาดินประสิวมาคั่วกับถ่านไม้ตำให้เข้ากันจนละเอียดเรียกว่า หมื่อ
(ดินปืน) และเอาหมื่อนั้นใส่กระบอกไม้ไผ่ตำให้แน่นเจาะรูตอนท้ายของบั้งไฟ
เอาไผ่ท่อนอื่นมัดติดกับกระบอกให้ใส่หมื่อโดยรอบ เอาไม้ไผ่ยาวลำหนึ่งมามัดประกบต่อออกไปเป็นหางยาว
สำหรับใช้ถ่วงหัวให้สมดุลกัน เรียกว่า “บั้งไฟ”
ในทัศนะของผู้วิจัย บั้งไฟ คือการนำเอากระบอกไม้ไผ่ เลาเหล็ก
ท่อเอสลอน หรือเลาไม้อย่างใดอย่างหนึ่งมาบรรจุหมื่อ (ดินปืน)
ตามอัตราส่วนที่ช่างกำหนดไว้แล้วประกอบท่อนหัวและท่อนหางเป็นรูปต่างๆ
ตามที่ต้องการ เพื่อนำไปจุดพุ่งขึ้นสู่อากาศ จะมีควันและเสียงดัง
บั้งไฟมีหลายประเภท ตามจุดมุ่งหมายของประโยชน์ในการใช้สอย
ในทางศาสนาพุทธกับประเพณีบุญบั้งไฟ
มีการฉลองและบูชาในวันวิสาขบูชากลางเดือนหก
มีการทำดอกไม้ไฟในแบบต่างๆ ทั้งไฟน้ำมัน ไฟธูปเทียนและดินประสิว มีการทำทาน
รักษาศีล เจริญภาวนา
บั้งไฟขนาดเล็ก
ส่วนประกอบของบั้งไฟ
เลาบั้งไฟ เลาบั้งไฟคือส่วนประกิบที่ทำหน้าที่บรรจุดินปืน
มีลักษณะเป็นรูปทรงกระบอกกลมยาว มีความยาวประมาณ 1.5 - 7 เมตร
ทำด้วยลำไม้ไผ่เล้วใช้ร้วไม้ไผ่ (ตอก)
ปิดเป็นเกลียวเชือกพันรอบเลาบั้งไฟอีกครั้งหนึ่งให้แน่น
และใช้ดินปืนที่ชาวบ้านเรียกว่า"หมือ" อัดให้แน่นลงไปในเลาบั้งไฟ
ด้วยวิธีใช้สากตำแล้วเจาะรูสายชนวน เสร็จแล้วนำเลาบั้งไฟ
ไปมัดเข้ากับส่วนหางบั้งไฟ ในสมัดต่อมานิยมนำวัสดุอื่นมาใช้เป็นเลาบั้งไฟแทนไม้ไผ่
ได้แก่ ท่อเหล็ก ท่อพลาสติก เป็นต้น
เรียกว่าเลาเหล็กซึ่งสามารถอัดดินปืนได้แน่นและมีประสิทธิภาพในการยิงได้สูงกว่า
หางบั้งไฟ หางบั้งไฟถือเป็นส่วนสำคัญทำหน้าที่คล้ายหางเสือ
ของเรือคือสร้างความสมดุลย์ให้กับบั้งไฟคอยบังคับทิศทางบั้งไฟให้ยิงขึ้นไปในทิศทางตรงและสูง
บั้งไฟแบบเดิมนั้น ทำจากไม้ไผ่ทั้งลำ
ต่อมาพัฒนาเป็นหางท่อนเหล็กและหางท่อนไม้ไผ่ติดกันหางท่อนเหล็กมีลักษณะเป็นท่อนกลม
ทรงกระบอกมีความยาวประมาณ 8-12 เมตร
ทำหน้าท่เป็นคานงัดยกลำตัวบั้งไฟชูโด่งชี้เอียงไปข้างหน้าทำมุมประมาณ 30-40
องศากับพื้นดิน โดยบั้งไฟจะยื่นไปข้างหน้ายาวประมาณ 7-8 เมตร
ปลายหางด้านหนึ่งตั้งอยู่บนฐานที่ตั้งบั้งไฟ
ลูกบั้งไฟ เป็นลำไม้ไผ่ที่นำมาประกอบเลาบั้งไฟโดยมัดรอบลำบั้งไฟ
บั้งไฟลำหนึ่งจะประกอบด้วยลูกบั้งไฟประมาณ 8-15 ลูก ขึ้นอยู่กับขนาดของบั้งไฟ
เดิมลูกบั้งไฟมีแปดลูกมีชื่อเรียกเรียงตามลำดับคู่ขนาดใหญ่ไปหาคู่ที่มีขนาดเล็กกว่าได้แก่
ลูกโอ้ ลูกกลาง ลูกนางและลูกก้อย ลูกบั้งไฟช่วยให้รูปทรงของบั้งไฟกลมเรียวสวยงาม
นอกจากนี้ลูกบั้งไฟยังเป็นพื้นผิวรองรับการเอ้หรือการตกแต่งลวดลายปะติดกระดาษ
ประเพณีบุญบั้งไฟ
ลายบั้งไฟ : ใช้ลายศิลปไทย คือ
ลายกนก อันเป็นลายพื้นฐานในการลับลายบั้งไฟ
โดยช่างจะนิยมใช้กระดาษดังโกทองด้านเป็นพื้นและสีเม็ดมะขามเป็นตัวสับลาย
เพื่อให้ลายเด่นชัดในการตกแต่งเพื่อให้ความสวยงาม
ตัวบั้งไฟ :
มีลูกโอ้จะใช้ลายประจำยาม ลายหน้าเทพพนม ลายหน้ากาล ลูกเอ้ใช้ลายประจำยาม
ก้ามปูเปลว และลายหน้ากระดาน ฯลฯ
กรวยเชิง :
เป็นลวดลายไทยที่เขียนอยู่เชิงยาบที่ประดับพริ้วลงมาจากช่วงตัวบั้งไฟ
ยาบ : เป็นผ้าประดับใต้เลาบั้งไฟ
จะสับลายใดขึ้นอยู่กับช่างบั้งไฟนั้น เช่น ลายก้านขูดลายก้าน
ดอกใบเทศ
ตัวพระนาง :
เป็นรูปลักษณ์สื่อถึงผาแดงนางไอ่ หรือตัวละครในเรื่องรามเกียรติ์ พระลักษณ์ พระราม
เป็นต้น
กระรอกเผือก : ท้าวพังคี
แปลงร่างมาเพื่อให้นางไอ่หลงใหล
ปล้องคาด : ลายรักร้อย
ลายลูกพัดใบเทศ ลายลูกพัดขอสร้อย เป็นต้น
เกริน :
เป็นส่วนที่ยื่นออกสองข้างของบุษบก เป็นรูปรอนเบ็ดลายกนก สำหรับตั้งฉัตรท้ายเกริน
ราชรถประดับส่วนท้ายของหางบั้งไฟ
บุษบก :
เป็นองค์ประกอบไว้บนราชรถ เพื่อสมมุติให้เป็นปราสาทผาแดงนางไอ่
ต้างบั้งไฟ
: ลายกระจังปฏิญาณ ลายก้านขด ลายพุ่มข้าวบิณฑ์
ลายประกอบตกแต่งอื่นๆ :
ลายกระจังตั้ง กระจังรวน กระจังตาอ้อย ลายน่องสิงห์ บัวร่วน กลีบขนุน
ประเภทของบั้งไฟ
1.
บั้งไฟโหวด
บั้งไฟโบดหรือโหวดเป็นบั้งไฟขนาดเล็กตัวกระบอกจะยาวขึ้น ประมาณ 4-10 นิ้ว
บรรจุหมื่อหนักประมาณ 1 ส่วน 8 ถึง 1 ส่วน 2 กิโลกรัม ใช้หางยาวประมาณ 1-4 เมตร
มีกระบอกไม้ไผ่เล็กๆ มัดวางรอบตัวบั้งไฟ นิยมทำประกอบกันในบั้งไฟใหญ่ (บั้งไฟหมื่น, บั้งไฟแสน) ปัจจุบันไม่ค่อยนิยมทำ เพราะไม่มีช่าง
2.
บั้งไฟม้า
บั้งไฟชนิดนี้เป็นบั้งไฟขนาดเล็กจุดไปตามทิศทางที่กำหนดใช้เส้นลวดเป็นวิถีตรึงไปยังเป้าหมายที่ต้องการ
ลักษณะทั่วไปเป็นบั้งไฟที่ทำจากกระบอกไม้ไผ่ 1 ปล้อง ขนาดแล้วแต่ต้องการ
โดยทั่วไปเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 2 นิ้ว ยาวประมาณ 1
ฟุตทางภาคกลางและภาคอีสานเรียกว่า “ลูกหนู”
คล้ายม้าที่กำลังวิ่ง ถ้าติดรูปอะไรก็เรียกชื่อไปตามนั้น
เป็นคนขี่ม้า รูปวัว แล้วแต่จะทำรูปอะไร บางครั้งภาคเหนือเรียกว่า บอกไฟยิง
3.
บั้งไฟช้าง
บั้งไฟชนิดนี้ไม่มีหาง
มีชื่ออีกอย่างหนึ่งว่ากระโพกหรือตะโพก
เวลาจุดไม่ต้องการให้พุ่งขึ้นไปแต่ต้องการมีเสียงร้องคล้ายกับช้างร้อง
วิธีทำบั้งไฟให้ใช้กระบอกไม้ไผ่ที่มีขนาดใหญ่ที่สุดยาวเพียงป้องเดียวให้มีข้อปิดทั้ง
2 ด้าน ทุบไม้ไผ่ให้แตกเล็กน้อย เจาะรู
เพื่อบรรจุหมื่อแล้วต่อชนวนเข้ารูแท่งหมื่อทำจากหมื่อถ่าน 3-4
อัดลงในไม้ไผ่ขนาดเล็กให้แน่น แล้วผ่าเอาแท่งหมื่อออกมาคล้ายข้าวหลาม
ให้ได้แท่งประมาณ 3 นิ้ว การจุดนั้นนิยมต่อพ่วงชนวนบั้งไฟใหญ่
เวลาจุดชนวนผ่าจะเกิดเสียงดังเหมือนเสียงช้างร้อง นิยมวางต่อกันเป็นช่วงๆ กระบอก
ถ้าต้องการจะให้มีเสียงดังอย่างไรก็จะมีเทคนิคในการทำให้เกิดเสียงนั้นๆ
4.
บั้งไฟแสน
บั้งไฟชนิดนี้เป็นบั้งไฟขนาดใหญ่ที่สุด
บรรจุดินปืนหนัก 120 กิโลกรัมขึ้นไป
บั้งไฟขนาดนี้ทำยากที่สุดจะต้องอาศัยความชำนาญเป็นพิเศษ
เพราะบั้งไฟขนาดนี้หากแตกแล้วจะเป็นอันตรายมาก เพราะฉะนั้นก่อนทำบั้งไฟจะต้องมีพิธีกรรมบวงสรวงให้ถูกต้องตามหลักการทำบั้งไฟแสนเสียก่อนจึงจะลงมือทำ
เมื่อตกบั้งไฟเสร็จเรียบร้อยแล้วจะมีการตกแต่งประดับประดาบั้งไฟ
5.
บั้งไฟตะไล
บั้งไฟชนิดนี้ก็คือบั้งไฟจินายขนาดใหญ่นั่นเอง มีความยาวประมาณ 9-12 นิ้ว
รูปร่างกลมมีไม้บางๆ แบนๆ
เป็นวงกลมครอบหัวท้ายบั้งไฟเมื่อพุ่งขึ้นสู่ฟ้าไปโดยทางขวาง
6.
บั้งไฟตื้อ
บั้งไฟตื้อหรือบั้งไฟกระแตนั่งตอ
เป็นบั้งไฟขนาดเล็กมีหางสั้น วิธีทำ ตัดกระบอกไม้ไผ่ขนาด 1 นิ้วครึ่งยาวประมาณ 3
นิ้ว อัดหมื่อให้แน่นประมาณ 2 นิ้ว ใช้หมื่อถ่านสามหรือถ่านสี่อัดด้วยเถียดไม้ให้แน่น
ต่อหางซึ่งทำจากไม้ไผ่ เหลาเป็นแท่งเล็กๆ ใช้เลื่อยตัดมุมข้อออกจนเห็นหมื่อ
เจาะให้เป็นรูเล็กๆ แล้วติดชนวน เวลาจะจุดเอาหางเสียบลงในแท่นที่ตั้งพอให้ตั้งได้
จุดชนวนจากด้านบน บั้งไฟจะพุ่งและหมุนขึ้นสู่อากาศ เกิดเสียงดังตือๆ เวลาหมุนจะไม่ค่อยมีทิศทาง
ใช้จุดในงานศพ เวลาจุดมีอันตรายมากไม่ค่อยนิยมทำกัน
7.
บั้งไฟพลุ
บั้งไฟพลุ
เป็นบั้งไฟที่นิยมจุดในเทศกาลต่างๆ เช่น งานกฐิน งานบุญมหาชาติ หรือ งานเปิดกีฬา
ฯลฯ เป็นบั้งไฟที่จุดแล้วทำให้เกิดเสียงดัง ในอดีตนิยมจุดในงานกฐิน เพื่อเป็นการบอกข่าวไปยังพี่น้องประชาชนทั่วไปให้ทราบ
จากพงศาวดารเมืองยโสธรได้บันทึกไว้ว่า
เมื่อราวๆ ปี พ.ศ. 2340 พระเจ้าวรวงศา (พระวอ)
เสนาบดีเก่าเมืองเวียงจันทน์กับสมัครพรรคพวกเดินทางอพยพจะไปอาศัยอยู่กับเจ้านครจำปาศักดิ์
เมื่อเดินทางถึงดงผีสิงห์เห็นเป็นทำเลดี จึงได้ตั้งหลักฐานและสร้างเมืองที่นี่เรียกว่า
“บ้านสิงห์ท่า” หรือ “เมืองสิงห์ท่า”
ต่อมาใน พ.ศ. 2357
พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัยได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯให้ยกฐานะบ้านสิงห์ท่าแห่งนี้ขึ้นเป็น
“เมืองยโสธร” ขึ้นตรงต่อกรุงเทพฯ
มีเจ้าเมืองดำรงบรรดาศักดิ์เป็นพระสุนทรราชวงศา ในปี พ.ศ. 2515 ได้ยกฐานะขึ้นเป็นจังหวัดยโสธร
โดยประกาศคณะปฏิวัติฉบับที่ 70 ลงวันที่ 6 กุมภาพันธ์ 2515 ได้แยกอำเภอยโสธร
อำเภอคำเขื่อนแก้ว อำเภอมหาชนะชัย อำเภอป่าติ้ว อำเภอเลิงนกทา และอำเภอกุดชุม
ออกจากจังหวัดอุบลราชธานี และรวมกันเป็นจังหวัดยโสธร ตั้งแต่วันที่ 1 มีนาคม 2515
จังหวัดยโสธรมีเนื้อที่ประมาณ 4,161
ตารางกิโลเมตร เป็นจังหวัดที่มีขนาดเล็กที่สุดในเขตอีสานตอนล่าง
จังหวัดยโสธรแบ่งการปกครองออกเป็น 9 อำเภอ คือ อำเภอเมืองยโสธร คำเขื่อนแก้ว
มหาชนะชัย ป่าติ้ว เลิงนกทา กุดชุม ค้อวัง ทรายมูล และไทยเจริญ
บุญบั้งไฟ นิยมทำกันในเดือนหก
ถือเป็นประเพณีสำคัญที่จะขาดไม่ได้ เพราะตั้งแต่โบราณจนถึงปัจจุบัน
ชาวอีสานมีความเชื่อว่า ถ้าปีใดไม่จัดงานบุญบั้งไฟ ฟ้าฝนก็จะไม่ตกต้องตามฤดูกาล
เกิดความแห้งแล้ง ไม่มีน้ำทำนา แต่ถ้าปีใดจัดงานประเพณีบุญบั้งไฟ
ฟ้าฝนก็จะตกต้องตามฤดูกาล เกิดความอุดมสมบูรณ์ ปราศจากโรคภัย
งานบุญบั้งไฟจึงถือเป็นงานประเพณี ประจำปีที่สำคัญของชาวอีสาน
พอใกล้ถึงวันงานชาวอีสานไม่ว่าจะอยู่ที่ไหนก็จะกลับบ้านไปร่วมงานบุญบั้งไฟซึ่งเป็นงานที่สร้างความรักความสามัคคีของคนท้องถิ่นเป็นอย่างดี
สรุปเหตุผลในการจัดงานบุญบั้งไฟ
3.
เพื่อขอฝนเมื่อเกิดภัยแล้ง
4.
สืบสานประเพณี
5.
ความเชื่อของชาวบ้าน